พระพิมพ์เนื้อเมฆสิทธิ์ พระอาจารย์ทับ วัดอนงคาราม

โดย ศาล มรดกไทย

เมื่อถึงช่วงต้นปีใหม่ในทุกๆ ปี หลายๆ ท่านมักจะเสาะหาวัตถุมงคลที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ด้วยเหตุที่บางคนจะมีปีเกิดตามโหราศาสตร์ที่ไม่ถูกโฉลกกับปีนั้นๆ หรือที่เรียกกันว่า “เกิดปีชง” เพราะจะทําให้ดวงชะตาตกต่ำ ทําสิ่งใดมักจะไม่ประสบความสําเร็จ รวมถึงอาจเกิดอันตรายในปีนั้นๆ ซึ่งวัตถุมงคลในรูปแบบพระเครื่องเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการยอมรับนับถือกันมาอย่างยาวนาน คือ พระพิมพ์เนื้อเมฆสิทธิ์ พระอาจารย์ทับ วัดอนงคาราม ที่เล่าขานกันว่า มีพุทธคุณโดดเด่นทางแก้และกันดวงชะตาตกต่ำที่เรียกว่า “พระเมฆสิทธิ์พลิกดวง” ทั้งยังหนุนนําให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป รวมถึงด้านเมตตามหานิยม รุ่งเรืองในหน้าที่การงาน แคล้วคลาดปลอดภัย เพราะความเด่นดังทางพุทธคุณที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน จึงเป็นหนึ่งในใจนักนิยมสะสมพระหลายๆ ท่าน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
 

ประวัติพระอาจารย์ทับ วัดอนงคาราม

จากบันทึกประวัติท่านเกิดในปี พ.ศ.2374 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทราบเพียงว่าท่านได้ทําการอุปสมบทสองครั้ง และชอบการธุดงค์เดินทางศึกษาวิชาอาคม

จนถึง พ.ศ.2457 ท่านมีอายุได้ 83 ปี จึงงดการเดินธุดงค์ อยู่ประจําที่วัดอนงคารามและเป็นอาจารย์สอนพระกัมมัฏฐานให้กับพระที่บวชเรียนในวัด ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านสมถกรรมฐานและวิชาอาคม ท่านจึงอยู่ในยุคร่วมสมัยและมีความสนิมสนมกับ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง, หลวงพ่อทับ วัดทอง, เจ้าคุณโพธิ์ วัดชัยพฤมาลา, หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า, หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ฯลฯ โดยเฉพาะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) เจ้าอาวาสวัดอนงคารามให้ความเคารพนับถือ หลวงพ่อทับ ให้เกียรติเป็นพระอาวุโสประจําวัดอนงคาราม ตลอดระยะเวลาหลวงพ่อทับท่านมีสุขภาพแข็งแรง สังเกตจากท่านธุดงค์ จนถึงอายเกินกว่า 80 ปี

จนถึงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2466 หลวงพ่อทับท่านได้มรณภาพด้วยโรคชราที่วัดอนงคารามแห่งนี้

การสร้างพระพิมพ์เนื้อเมฆสิทธิ์

ในสมัยที่ท่านอยู่ประจําที่วัดอนงคารามมีลูกศิษย์ให้ความเคารพนับถือเดินทางมากราบไหว้ที่วัดเป็นประจำ โดยเฉพาะข้าราชบริพารในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เช่น กองเสือป่า จะนิยมบูชาพระพิมพ์เนื้อเมฆสิทธิ์ของหลวงพ่อทับ

ซึ่งพระเนื้อเมฆสิทธิ์นี้ หลวงพ่อได้สร้างแบบหล่อโบราณขึ้นที่วัด ประมาณใกล้ๆ ปี พ.ศ.2460 ตามคำเล่าขานกล่าวกันว่า มีท่านเพียงองค์เดียวที่สร้างพระเนื้อเมฆสิทธิ์นี้ได้ มีส่วนผสมคือทองคํา เงิน ตะกั่ว ทองเหลือง ทองแดง ปรอท กํามะถัน และมวลสารบางอย่างที่เป็นเคล็ดลับของหลวงพ่อ

หลังจากการหล่อเสร็จเรียบร้อยได้ทําการตบแต่งตะไบให้สวยงาม ซึ่งบางองค์ที่สวยแล้วก็ไม่ต้องแต่ง แบ่งเป็นพิมพ์ที่นิยมเป็นที่รู้จัก ได้แก่ พิมพ์ปิดตาพิมพ์ต้อ พิมพ์ปิดตาพิมพ์ชลูด พิมพ์ปิดตานั่งยอง พิมพ์ปางซ่อนหา พิมพ์ซุ้มรัศมี พิมพ์ประภามณฑลรัศมี พิมพ์นาคปรก พิมพ์ชินราช ฯลฯ พระทั้งหมดจะมีสีเขียวเหมือนปีกแมลงทับ ถ้ากระทบกับแสงจะสวยงามเห็นเป็นสีรุ้งและมีประกายสีทองผสมอยู่

การพิจารณาต้องดูที่ความเก่าและจดจําความเหลือบของสีผิวของพระองค์แท้ๆ ส่วนมากพระท่านจะหล่อ พิมพ์ไม่ค่อยสวย องค์ที่นํามาแต่งจะเป็นงานแต่งโดยเครื่องมือช่างรุ่นเก่าเส้นตะใบจะเล็ก และมีธรรมชาติของพระอายุเกือบร้อยปีปกคลุม ผิวพระมักมีหลุมเล็กๆ และเป็นคลื่นไม่เรียบเสมอกัน ในสมัยก่อนอาจารย์ที่เป็นเซียนพระยุคเก่าสั่งสอนมาว่าให้นําพระมาขัดผิว จะเห็นเนื้อในพระเป็นสีเงิน เมื่อนํามาแช่น้ำร้อนจัดหรือน้ำเย็นจัดไม่กี่นาที พระที่ขัดแล้วเป็นสีขาวจะกลับมามีสีเขียวเหมือนดังเดิม หรือแช่น้ำฝนเอาไว้ทั้งคืน เข้ามาดูพระจะกลับเขียวให้เห็น ซึ่งจะต้องเป็นพระแท้ๆ เท่านั้นที่ทําได้ (เรื่องนี้ผู้เขียนทดลองให้เห็นจริงมาหลาย ครั้งแล้ว) หรือถ้าจะให้ดีปรึกษาผู้ชํานาญที่เห็นหรือแลกเปลี่ยนพระเนื้อเมฆสิทธ์แท้ๆ เป็นประจําจะดีกว่า

พระพิมพ์เนื้อเมฆสิทธิ์ของหลวงพ่อทับ วัดอนงคารามองค์ที่แท้ๆ ปัจจุบันมีราคาสูงและหาได้ยาก เพราะเป็นที่นิยมของผู้สะสมพระเครื่อง ยิ่งเซียนพระชื่อดังๆ ของเมืองไทยล้วนหาไว้พกบูชาติดตัว ด้วยคําล่ำลือที่เป็นเยี่ยมทางคุ้มครองป้องกันภัย เดินทางไกลป้องกันไข้ป่าได้ ทั้งยังแรงทางเมตตามหานิยม ที่สําคัญเป็นหนึ่งในเรื่องพลิกฟื้นดวงชะตาไม่ให้ตกต่ำ ซ้ำยังหนุนดวงให้ดียิ่งขึ้น นับเป็นที่สุดของพระเครื่อง ล้ำค่าที่น่าครอบครองบูชาจริงๆ 

เอื้อเฟื้อภาพโดย คุณหมึก ท่าพระจันทร์, คุณป้อม ท่าพระจันทร์, คุณพจน์ เก้าเทวา, คุณธนพล เลอศักดิ์รัศมี

พระเครื่องล้ำค่า ปีที่ 9 ฉบับ 114 กุมภาพันธ์ 2555 หน้า 26-27