title แม็กกาซีนพระ บทความและสาระความรู้

เหรียญรุ่นแรกสุดเข้มขลัง หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ประจวบคีรีขันธ์
17 เมษายน 2563    8,399

เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของหลวงพ่อ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2530 เพื่อเป็นที่ระลึกในงานวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดหนองจอก โดยการนําของ คุณลาวัณย์ ใบหยก และศิษย์ทางสายกรุงเทพฯ

เหรียญรุ่นแรกสุดเข้มขลัง หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ประจวบคีรีขันธ์

เหรียญรุ่นแรกสุดเข้มขลัง หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ประจวบคีรีขันธ์

โดย ศาล มรดกไทย

ยุคหลังปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา พระเกจิอาจารย์ที่ขึ้นชื่อว่ามีวิชาอาคมขลัง เป็นที่นับถือศรัทธาของชาวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และทั่วทั้งเมืองไทยต้องยกให้หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก พระผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา สร้างวัตถุมงคลเอาไว้ให้ศิษย์ใช้คุ้มครองเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จนมีชื่อเสียงในด้านพุทธคุณได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตลอดมา ด้วยพระเครื่องหลายๆ รุ่นของท่านศึกษาสะสมง่าย จํานวนการสร้างที่มีการ บันทึกไว้และมีรูปแบบชัดเจน ซึ่งในครั้งนี้จะได้กล่าวถึงเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อที่มีประสบการณ์สูง จนติดอันดับเหรียญยอดนิยมของ เมืองประจวบฯ เหรียญหนึ่งเลยทีเดียว

เหรียญหลวงพ่อยิดวัดหนองจอก

ประวัติหลวงพ่อยิด

หลวงพ่อยิดท่านเป็นชาวจังหวัดราชบุรี เกิดที่หมู่บ้านดอนหัวกรวด ตําบลนาพันสาม อําเภอเมือง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2467 เมื่อเติบโต มีอายุได้ 9 ขวบ บรรพชาเป็นสามเณรติดตาม “หลวงพ่อหวล วัดนาพรม” ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าชายของท่าน โดยหลวงพ่อหวลได้เมตตาสอนทั้งหนังสือและวิชาการอ่านอักขระเลขยันต์ รวมถึงการนั่งวิปัสนากรรมฐานศึกษาวิชาอาคมขั้นต้น ควบคู่ไปกับวิชาแพทย์แผนโบราณ นับว่าท่านมีความจําเป็นเลิศร่ำเรียนได้อย่างรวดเร็ว สามารถเขียนภาษาขอม เลขยันต์ ได้อย่างสวยงาม ตั้งแต่อายุยังน้อยและได้ออกเดินธุดงค์ไปกับหลวงน้าในหลายๆ จังหวัดจนข้ามเลยไปถึงประเทศพม่า

โดยตลอดเวลาท่านจะหมั่นเพียรในการท่องตํารับตําราด้วยความสนใจเป็นยิ่งนัก หลังจากนั้นไม่กี่ปีหลวงน้าของท่านได้พาไปฝากเรียนวิชากับ “หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง” ด้วยความเมตตาที่หลวงพ่อทองสุขมีต่อท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงถ่ายทอดวิชาให้อย่างเต็มที่ ทั้งการฝึกนั่งกรรมฐานขั้นสูงขึ้น และการศึกษาวิชาอาคมการสักยันต์ทางคงกระพันชาตรี ซึ่งเป็นวิชาที่ขึ้นชื่อของหลวงพ่อทองสุข และสามเณรยิดได้ศึกษาเอาไว้เป็นอย่างดี

ด้วยความที่ท่านเริ่มเติบโตเป็นหนุ่มเห็นความลําบากของโยมพ่อและโยมแม่ จึงได้ขอลาสิกขากับหลวงน้าของท่าน กลับไปช่วยพ่อแม่ทําไร่ทํานา แต่ยังคงไม่ทิ้งวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมา และได้เริ่มสักยันต์ให้กับบรรดาหนุ่มๆ ชาวบ้านจนร่ำลือในด้านคงกระพันหนังเหนียวชนิดเชื่อถือได้ หลายๆ คนเรียกท่านว่า “อาจารย์ยิด” ทั้งๆ ที่อายุท่านยังไม่ครบ 20 ปี เลยทีเดียว เมื่อทางบ้านฐานะการเงินดีขึ้นและท่านมีอายุครบบวชแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานหลวงน้าหวลได้เดินทางมาเยี่ยมที่บ้าน ท่านจึงขอติดตามกลับไปบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่วัดนาพรม โดยมีหลวงพ่ออินทร์ วัดนายาง เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล วัดนาพรม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “จันทสุวัณโณ” แปลว่า “ผู้มีวรรณะดุจพระจันทร์” ด้วยความชื่นชอบของหลวงพ่อยิดที่ได้บรรพชา หลังจากนั้นไม่นานท่านได้เดินทางไปเรียนวิชาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อทองสุข และได้เดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ศึกษาวิชาเพิ่มเติมเป็นเวลานับสิบๆ ปี ที่ท่านหายไปเมื่อเดินทางกลับมาที่บ้านโยมพ่อท่านได้ป่วยหนักจนเสียชีวิต สุดท้ายท่านจึงต้องสึกจากการเป็นพระ เพื่อมาอยู่ดูแลแม่ที่ชรามากแล้ว ระยะเวลาผ่านไปนานจนถึงปี พ.ศ.2518 ทางบ้านไม่มีความเดือดร้อนใดๆ ซึ่งในใจท่านคิดอยากที่จะกลับมาบวชอีกครั้ง จึงได้เดินทางไปที่วัดเกาะหลักและได้ตั้งจิตใจแน่วแน่ขอบวชเป็นครั้งสุดท้ายและจะครองผ้าเหลืองไปจนตลอดชีวิต

เมื่อบวชเป็นพระภิกษุ หลวงพ่อยิดได้เดินทางไปจําพรรษาที่วัดต่างๆ หลายๆ แห่ง ช่วยในการก่อสร้างบูรณะวัดต่างๆ จนได้มาพบเจอโยมอุบาสิกาใจบุญ คือ นางวง บุญมา และนางเอื้อน เกตุงาม โยมทั้งสองได้พร้อมใจกันถวายที่ดินให้หลวงพ่อยิดเป็นจํานวน 21 ไร่ 2 งาน เพื่อให้หลวงพ่อสร้างวัดที่ตําบลดอนยายหนู อําเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ด้วยความที่เป็นผืนป่าเต็มไปด้วยความรกร้างหลวงพ่อต้องเริ่มสร้างกุฏิขึ้นมาด้วยการถางป่าก่อสร้างไปเรื่อยๆ และได้รับความช่วยเหลือด้วยใจที่ศรัทธาจากบรรดาศิษย์ที่มีความนับถือหลวงพ่อ

ในขั้นแรกท่านตั้งเป็นสํานักสงฆ์ขึ้นมาก่อนและได้เปลี่ยนเป็น “วัดหนองจอก"ในเวลาต่อมา ตลอดเวลาที่หลวงพ่อเริ่มสร้างวัดมีศิษย์เพิ่มมากขึ้นจนสร้างความเจริญรุ่งเรืองในวัด และแพร่ขยายต่อๆ ไป ทั้งหมู่บ้านจนถึงปัจจุบัน ด้วยคุณงามความดีที่หลวงพ่อได้สร้างไว้ให้กับพระพุทธศาสนา ในปี พ.ศ.2535 ท่านได้รับสมณศักดิ์ที่ “พระครูนิยุตธรรมสุนทร” ปกครองวัดด้วยความรุ่งเรืองตลอดมาจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2538 หลวงพ่อยิดได้มรณภาพด้วยอาการสงบ ที่โรงพยาบาลตํารวจ สิริอายุได้ 71 ปี 30 พรรษา

ตั้งแต่หลวงพ่อปกครองสร้างวัดหนองจอก ท่านได้สร้างเครื่องรางของขลังหลากหลายชนิดให้ศิษย์เอาไว้คุ้มครองตัว เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ พระเครื่องเนื้อผงพิมพ์ต่างๆ ฯลฯ แต่ที่ขึ้นชื่อเป็นที่ต้องการของศิษย์ ต้องยกให้ปลัดขิกของท่าน ที่ร่ำลือในด้านพุทธคุณกล่าวกันว่า ท่านได้ปลุกเสกปลัดขิกให้ลุกตั้งขึ้นได้ต่อหน้าศิษย์เป็นจํานวนมากแถมยังกระโดดให้เห็นๆ กันจะๆ เลยทีเดียว ทําให้ท่านต้องรับศิษย์ที่มากราบไหว้จากทั่วทั้งประเทศและต้องเดินทางไปตามงานนิมนต์ รวมถึงงานปลุกเสกวัตถุมงคลบางวันต้องเดินทางไปปลุกเสกถึง 9 วัดเลยทีเดียว

ฉบับ 154 เหรียญ หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก

สําหรับ เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของหลวงพ่อ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2530 เพื่อเป็นที่ระลึกในงานวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดหนองจอก โดยการนําของ คุณลาวัณย์ ใบหยก และศิษย์ทางสายกรุงเทพฯ ตั้งใจที่จะสร้างจํานวน 10000 เหรียญ เป็นเหรียญทรงเสมาด้านหน้ารูปหลวงพ่อยิดนั่งสมาธิเต็มองค์ ด้านหลังมียันต์และเขียนรายละเอียดกับบอกปีที่สร้างเอาไว้

เมื่อปั้มเหรียญไปได้ไม่นาน แม่พิมพ์ด้านหน้าเกิดชํารุดจึงต้องแกะพิมพ์ขึ้นใหม่ให้เหมือนเดิม ส่วนด้านหลังมีแม่พิมพ์เดียว จํานวนที่สร้างคือ เนื้อเงิน ประมาณไม่เกิน 50 เหรียญ เนื้อทองแดง 10000 เหรียญ แบ่งเป็นบล็อกไม่มีกระเดือกจํานวน 3000 เหรียญ บล็อกมีกระเดือกจํานวน 7000 เหรียญ สําหรับเหรียญทองแดงจะมีทั้งทองแดงผิวไฟ และทองแดงรมดํา ทุกๆ เหรียญได้มีการตอกโค้ดเอาไว้ที่ด้านหน้าเหรียญตรงสังฆาฏิของหลวงพ่อ โดยเหรียญทั้งหมดหลวงพ่อได้ปลุกเสกให้ทั้งไตรมาส จึงได้นํามาแจกจ่ายต่อไป

อนึ่งในปี พ.ศ.2532 มีงานทอดผ้าป่าที่วัดคณะกรรมการได้นําเหรียญรุ่นแรกจํานวน 39 เหรียญไปชุบกะไหล่ทอง และมีการตอกโค้ดเพิ่มเติมอีกหนึ่งตัวที่ด้านหน้าเหรียญใต้อาสนะเหนือชื่อของหลวงพ่อ และได้นํามาแจกแก่ผู้มีอุปการะคุณต่อวัดหนองจอก ในขณะนั้น

เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อ เมื่อท่านเริ่มแจกเพียงไม่นานก็ได้หมดไปจากวัด ผู้ที่นําไปบูชาติดตัวต่างเชื่อมั่นในพุทธคุณเป็นที่เชื่อถือกล่าวขานว่า ดีทั้งทางเมตตามหานิยม ค้าขายดี แคล้วคลาดปลอดภัย ยิ่งเรื่องคงกระพันชาตรี มีประสบการณ์เป็นที่เลื่องลือ ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างสูง เป็นหนึ่งในวัตถุมงคลของหลวงพ่อยิด แห่งวัดหนองจอก พระเกจิอาจารย์วิชาอาคมเข้มขลัง ที่เป็นที่นับถือของศิษย์ทั่วทั้งเมืองไทย ต่อไปอีกนานเท่านาน

 

พระเครื่องล้ำค่า ปีที่ 13 ฉบับ 154 มิถุนายน 2558 หน้า 30-31